อาหารฤทธิ์เย็น อาจจะเพิ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในสังคมไทย แต่ความจริงศาสตร์ชนิดนี้มีมาช้านาน ทั้งในการแพทย์แผนจีน หลักอายุรเวท หรือการแพทย์อินเดีย ควบคู่กับอาหารฤทธิ์ร้อน ทั้งสองศาสตร์ล้วนใช้อาหารสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย …มีหลักการคือปรับสมดุลร่างกาย... และเมื่อร่างกายมีความสมดุล ไม่ร้อนเกิน หรือเย็นเกิน เราก็จะไม่เป็นโรคร้าย
เพื่อไม่ให้ร่างกายเรามีภาวะร้อน หรือเย็นเกินไปจนสำแดงฤทธิ์ออกมาด้วยอาการเจ็บป่วย ควรสังเกตตัวเองหากมีอาการท้องผูก ปัสสาวะปริมาณน้อย สีเข้ม แสบท้อง รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก ร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ เจ็บปลายลิ้น เจ็บคอ เสียงแหบ ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้ง มีแผลต่าง ๆ ในช่องปากด้านล่างหิวมาก หิวบ่อย ตัวร้อน มือเท้าร้อน หน้าแดง มีสิวขึ้น ครั่นเนื้อครั่นตัว มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ตามตำราท่านว่ามีภาวะร้อนภายในร่างกายมาก หากสะสมเป็นเวลานาน ๆ แล้ว อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจพัฒนาเป็นโรคหัวใจ หวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ริดสีดวงทวาร เบาหวาน ความดันโลหิตสูง บางรายถึงขั้นเป็นมะเร็งต่อไปได้
เมื่อไหร่ร่างกายป่วยหรือรู้สึกไม่สบายตัว นั่นแสดงว่าภายในเราเริ่มเสียสมดุลแล้ว ซึ่งเราสามารถปรับสมดุลคืนกลับมาให้ร่างกายได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ตรงกันข้าม ตัวอย่างอาหารฤทธิ์เย็น เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ข้าวกล้อง (เหลือง) ข้าวซ้อมมือ ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน ผักบุ้ง มะละกอดิบ มะเขือเปราะ ถั่วงอก ฟัก ยอดตำลึง ย่านาง ดอกขจร หัวไชเท้า กะหล่ำดอก กล้วยน้ำว้า สับปะรด ส้มโอ มังคุด แตงไทย แตงโม พุทรา มะม่วงดิบ เก็กฮวย น้ำจับเลี้ยง เป็นต้น ฯลฯ
ขอให้เพื่อนๆ มีสุขภาพที่แข็งแรง สวยสดในทั้งภายนอกและภายในนะคะ
ที่มา----ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต, หมอเขียว ใจเพชร
