ร้อนในเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายแสดงออกมาให้เรารู้ว่า ร่างกายเราไม่สมดุลแล้ว เราต้องดูแลให้ร่างกายกลับไปสู่สมดุลสักที แล้วเราจะรักษาโรคร้อนในที่ว่ามานี้ได้อย่างไร?
อาการร้อนในที่พบเห็นกันบ่อยที่สุดน่าจะเป็นร้อนในแผลในปาก ลักษณะจะเป็นแผลวงรีสีขาวใหญ่หรือเล็ก อาจจะมีมากกว่า 1 แผล บริเวณกระพุ้งแก้ม ด้านในริมฝีปาก เหงือกและลิ้นบางคนจะปวดแสบปวดร้อน เจ็บ ทรมานทานอาหารไม่ได้ บางคนมีไข้เล็กน้อยมีขี้ตาแฉะเวลาตื่นนอน ท้องผูกและมีอาการเจ็บคอกระหายน้ำบ่อย ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ1-2 อาทิตย์จะรักษาหรือไม่รักษาก็หายได้ทั้งนั้น แต่ผู้เป็นร้อนในมักจะทนทรมานไม่ไหวจึงหายามาทาหรือมากินบรรเทาอาการดังกล่าว
สาเหตุของร้อนในแผลในปากที่พบได้บ่อยคือพักผ่อนน้อย นอนดึกตื่นเช้า ท้องผูก หรือขับถ่ายไม่เป็นเวลาทานอาหารรสจัด รสเข้มข้น มัน หรืออาหารทอดบ่อยๆ สาเหตุดังกล่าวทำให้ร่างกายไม่สมดุลเกิดอาการร้อนในได้ คนจีนเรืยกโรคร้อนในว่า โรคหยาง ร่างกายของคนมีลักษณะหยิน (เย็น) หยาง (ร้อน) ต่างกัน เช่น ถ้าคนมีลักษณะเป็นหยางมากกว่าหยินแล้วไปกินอาหารที่เป็นหยางเข้าไปก็เท่ากับทำให้ลักษณะหยางในร่างกายเพิ่มขึ้นก็จะเป็นโรคหยาง ซึ่งก็คือเกิดอาการร้อนในนั้นเอง
อีกประการหนึ่งเรื่องของอาหารในทรรศนะของจีนก็แบ่งเป็นหยินและหยาง คนที่เป็นโรคหยางมักจะเป็นคนที่มีธาตุหยาง (ร้อน) แล้วไปทานอาหารกลุ่มที่เป็นหยาง เช่น อาหารรสจัดรสเผ็ด อาหารมัน อาหารทอด เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน ข้าวเหนียว ทำให้เป็นโรคหยางดังนั้นถ้าไม่อยากเป็นร้อนในหรือโรคหยางให้หลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว ไปทานพวกกล้วยเต้าหู้ แตงกวา ส้ม ฟักทอง แตงโม มะเขือเทศ ฟัก ถั่วเขียว ขึ้นฉ่ายหรืออาหารจำพวกหยินต่างๆ แทน ซึ่งเป็นอาหารชนิดที่กินเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกชุ่มคอสบายและส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักสมุนไพรต่างๆ น้ำสมุนไพรจำพวกเฉาก๊วย จับเลี้ยง หล่อฮั่งก้วย ก็ช่วยได้บ้าง
วิธีจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้อนใน ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม นั่นคือท่านจะต้องรู้จักร่างกายของตัวเองก่อนว่าเป็นหยินหรือเป็นหยางมากกว่ากัน ตอนนี้อากาศเป็นอย่างไร จะกินอาหารอะไร จึงจะสอดคล้องกัน คือพยายามปรับสมดุลให้ได้ อาการร้อนในก็จะไม่เกิดขึ้น
ที่มา
http://www.namtaothong.com/article1.html
▲