7 ไอเทมฟื้นฟูผิวที่พังจากมลภาวะ เตรียมผิวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
Room : Review
wanvismo | ผิวผสม | 30-34 Yrs | 9 รีวิว 09/05/2020 19:34     

7 ไอเทมฟื้นฟูผิวที่พังจากมลภาวะ เตรียมผิวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์

7 ไอเทมฟื้นฟูผิวที่พังจากมลภาวะ เตรียมผิวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์

ใครที่ได้ติดตามเรามาซักพักคงพอจะรู้ว่าการ Mix & Match Skincare Routine ในแต่ละช่วงเวลาเป็นเรื่องที่เรามักจะทำอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากสภาพผิวในแต่ละช่วงนั้นแตกต่างกัน รวมถึงปัญหาผิวที่เรากังวลก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างในช่วงที่ผ่านมาเรามีสิวอักเสบขึ้น(คาดว่าน่าจะมาจากการใส่หน้ากากอนามัยเป็นหลัก) ซึ่งกว่าจะยุบตัวลงได้ก็ใช้เวลาซักพักใหญ่เชียวหละ

แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือนางเล่นทิ้งรอยแดงจากสิวเอาไว้เป็นที่ระลึกให้เราดูต่างหน้า เราเลยปรับเปลี่ยน Skincare Routine ใหม่เพื่อเน้นเรื่องการเพิ่มความแข็งแรงของผิว ซ่อมแซมผิวและช่วยลดรอยแดง จนสุดท้ายก็มาลงตัวที่ 7 ไอเทมนี้นั่นเองฮะ เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักกันทีละไอเทมเลยดีกว่าค๊าบ....


1st Step : Zelens Z Balance Prebiotic and Probiotic Facial Mist

Zelens Z Balance Prebiotic and Probiotic Facial Mist


โดยปกติแล้วเรามักจะเริ่มขั้นตอนแรกของการบำรุงผิวด้วยใช้ Toner กับสำลี แต่เนื่องจากสิวอักเสบเราเพิ่งจะหายดี เราเลยไม่อยากให้ผิวระคายเคืองเพิ่มขึ้นจากการเช็ดด้วยสำลี เลยปรับมาใช้ Zelens Z Balance Prebiotic and Probiotic Facial Mist แทน เพราะจากส่วนผสมที่ช่วยเรื่องการปรับสมดุลและเพิ่มความแข็งแรงของผิวได้ดีไม่ว่าจะเป็น

  • Prebiotic และ Probiotic ที่ช่วยรักษาสมดุลของ Microbiome บนผิว เพื่อให้ผิวเราแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสในการแพ้ระคายเคืองลง
  • Amino-acid complex ช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นให้กับผิว เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  • Shiso leaf ที่นอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระแล้วยังมีความสามารถในการต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และลดอาการแพ้ได้ดี

Zelens Z Balance Prebiotic and Probiotic Facial Mist


ด้วยเนื้อสัมผัสที่เบาสบายผิวเราจึงให้ Zelens Z Balance Prebiotic and Probiotic Facial Mist เป็น 1st Step ของการเตรียมผิวไปโดยปริยาย หรือใครอยากจะฉีดเพิ่มระหว่างวันก็ทำได้ไม่ผิดกติกาฮะ


2nd Step : QUENTE Pause Age Serum

QUENTE Pause Age Serum


ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ค่อนข้างหนักอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็นในเรื่องมลภาวะ PM2.5 และ COVID-19 ที่ทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย แถมยังต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้านเรา สุดท้ายก็ไม่รอดได้สิวอักเสบมาครอบครองไปตามระเบียบ กว่าจะจัดการได้ก็ใช้เวลาพักใหญ่เลยหละ ซึ่งพอสิวสงบตัวลงสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเสียสมดุลของผิว(ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มรักษาสิว) ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย


เราเลยเลือก QUENTE Pause Age Serum ที่เด่นในเรื่องการเสริม Skin Barrier, Anti-Aging, Anti-Pollution และช่วยยังกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซม DNA ของผิวเมื่อถูกแสงทำร้ายด้วยรังสี UV ได้อีก ซึ่งแน่นอนว่าที่มาของความเด็ดดวงของเซรั่มขวดนี้ก็คงไม่พ้นส่วนผสมที่จัดมาเต็ม dose ไม่ว่าจะเป็น 

  • Alteromonas Ferment Extract ที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง Hyaluronic Acid และ Lipid สำคัญในผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นและแข็งแรงขึ้น
  • MossCellTec™ No.1 ช่วยชะลอริ้วรอยโดยการเสริมการทำงานของนิวเคลียสภายในเซลล์ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวสามารถช่วยให้ผิวปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาะแวดล้อมได้ดีขึ้น
  • Bifida Ferment Filtrate หรือ Repair Activator ที่เกิดจากการบ่มของแบคทีเรีย Bifido หรือ Bifida ทางผู้ผลิตเคลมด์ว่าช่วยซ่อมแซม DNA ของผิวได้ โดยกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการซ่อมแซม DNA เมื่อถูกแสง UVA ทำลาย
  • Matrixyl 3000 ที่ได้จากการผสมผสานสารในกลุ่มเปปไทด์ถึง 2 ชนิด คือ Palmitoyl Tripeptide-1 และ Palmitoyl Tetrapeptide-7 ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน ลดริ้วรอยทั้ง Fine Line - Deep Line ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น (elasticity) ให้แก่ผิวได้อีกด้วย


นอกจากนี้ยังมีสารที่ทางแบรนด์เรียกว่า "Skinguard" ที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากมลภาวะทางอากาศ ยับยั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอในผิวที่เกิดจากควันท่อไอเสียและอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวชื้ในไทย โดยจะช่วยในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้ผิวแข็งแรงโดยมีการสร้างฟิล์มเคลือบผิวด้วยสารพอร์ไฟแรนนั่นเองขอรับ

QUENTE Pause Age Serum


เราแอบสังเกตุว่าหลายครั้งที่ผิวเราอ่อนแอลงจากมลภาวะและปัจจัยต่างๆ เรามักจะหยิบ QUENTE Pause Age Serum มาเพิ่มใน Skincare Routine ของเราอยู่เสมอและก็มักจะกู้ผิวให้กลับมาแข็งแรงได้ทุกครั้งไป แถม Texture ของเค้ายังทำออกมาได้ค่อนข้างเบาสบายผิว ซึมเข้าผิวได้ดี-ไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิว ทำให้ไม่รบกวนการเลเยอร์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของเราด้วยหละฮะ


3rd Step : Mesoestetic HA Densimatrix

Mesoestetic HA Densimatrix


แม้ว่าเรารักษาสิวอักเสบจนหายสนิทแล้ว แต่ด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว และรักษาสิวที่ใช้ก่อนหน้านี้ทำให้ผิวเราขาดสมดุล และค่อนข้างแห้งพอสมควร แน่นอนว่าส่วมผสมแรกที่แว๊ปขึ้นมาในหัวเราว่าน่าจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้คงไม่พ้น Hyaluronic Acid นั่นเอง เราจึงหยิบ Mesoestetic HA Densimatrix มาเพิ่มใน Skincare Routine เซทนี้ ซึ่งความพิเศษของเซรั่มขวดนี้ คือ

  • โมเลกุลของ Hyaluronic Acid ที่ใส่เข้ามาถึง 4 ชนิดตั้งแต่ High-Low ช่วยให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวจากชั้นนอกถึงระดับลึกลงไปได้ดีขึ้น
  • ผนวกกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า Cross-Linked Hyaluronic Acid จะช่วยให้ Hyaluronic Acid เคลือบผิวด้านบนผิวอีกชั้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันด้านบน และทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีและแลดูกระชับขึ้น

Mesoestetic HA Densimatrix


แถมยังใส่สารที่ไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไหนหยิบมาใช้อย่าง Malachite Extract ซึ่งเป็นสารสกัดจากแร่ Malakite(มาลาไคท์) มีสีฟ้าอมเขียว ซึ่งทางผู้ผลิตเคลมว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวได้อีกด้วย


4th Step : Aēsop Lucent Facial Concentrate

Aēsop Lucent Facial Concentrate


Aēsop Lucent Facial Concentrate ขวดนี้เราหยิบมาเพื่อจัดการกับรอยแดงจากสิวโดยเฉพาะ ด้วยเหตุว่าเค้ามีอนุพันฑ์ Vitamin C ในฟอร์มที่ออกฤทธิ์ได้โดยไม่ต้องอยู่ในสภาวะเป็นกรด ซึ่งเหมาะกับผิวที่กำลังปรับตัวในช่วงนี้มากทีเดียวเชียวหละ และจากที่เราดู Ingredient Lists พบว่า :

  • Sodium Ascorbyl Phosphate อยู่ตามหลัง Glycerin ที่โดยทั่วไปแล้วจะใส่มาอยู่ที่ราว 5% จึงคาดการว่าน่าจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งก็คาดหวังผลในเรื่องการลดการอักเสบ และการเป็น Antioxidant ได้แล้วหละฮะ
  • นอกจากนี้ยังมี Niacinamide หรือ Vitamin B3 ที่เป็นวิตามินครอบจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความกระจ่างใส ช่วยเสริมการสร้างเซราไมด์บนผิวให้ผิวแข็งแรงยิ่งขึ้น และมีรายงานว่าที่ความเข้มข้น 4% สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวได้เทียบเท่ากับการทายา Clindamycin เลยหละครับ (แต่ทางแบรนด์ไม่ได้ระบุไว้ เราจึงไม่กล้าฟันธงว่าใส่มากี่ % กันแน่ฮะ)

Aēsop Lucent Facial Concentrate


ซึ่งนอกจากเรื่องส่วนผสมและเนื้อสัมผัสที่น่าสนใจแล้วแน่นอนว่าถ้าพูดถึง Aēsop คงไม่พ้นเรื่องกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์ จาก Essential Oils ที่เบลนด์มาอย่างพอดิบพอดี ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้ดีทีเดียวเลยหละครับ


5th Step : CLARINS Double Serum

CLARINS Double Serum


ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ผิวผสม-มัน ครั้นจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Oil-Based เพียวๆ ในตอนเช้าก็เกรงว่าจะอุดตันได้ง่าย เลยเลือกตัวที่เป็น Bi-Phase อย่าง CLARINS Double Serum เพื่อมาล็อคความชุ่มชื้นบนผิวแถมยังมีสารสกัดธรรมชาติที่น่าสนใจกว่า 20 ชนิดไม่ว่าจะเป็น

  • Silybum Marianum Seed Oil ที่ได้จาก Silybum Marianum Fruit Extract ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) อีกทั้งยังช่วยต่อต้านการแพ้/ระคายเคือง/อักเสบ (Anti-inflammatory)
  • Cheno - Podium Quinoa Seed Extract สารสกัดจากควินัว อุดมไปด้วยแร่ธาตุในการให้อิออนของ Calcium กับ Sodium และ Potassium กับผิว ผู้ผลิตเคลมว่าช่วยยกกระชับและลดเลือนริ้วรอย
  • Leontopodium Alpinum Extract สารสกัดจากดอก Edelweiss เป็นสารสกัดที่มี Leontopodic acid และ Antioxidants สูงซึ่งช่วยปกป้องและชะลอกระบวนการเสื่อมของผิวต่อความเครียด แสงแดด รังสี ความร้อน และมลภาวะต่างๆ ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวันได้ดี 

CLARINS Double Serum


ที่สำคัญคือ Design ของ Packaging ที่สามารถปรับปริมาณของผลิตภัณฑ์ได้ถึง 2 ระดับ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับการใช้งาน หรือสภาพผิวของที่แตกต่างกันได้อีกด้วยหละครับ


6th Step : Philosophy Take A Deep Breath Oil-Free Oxygenating Gel Cream

Philosophy Take A Deep Breath Oil-Free Oxygenating Gel Cream


เรามักจะย้ำเสมอว่า 1 ในสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนในช่วงนี้เราเลยหยิบ Philosophy Take A Deep Breath Oil-Free Oxygenating Gel Cream ที่มีเทคโนโลยี clean-air technology ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าช่วยสดชื่นให้กับผิวแห้งตึง นอกจากเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะแล้วเจลครีมกระปุกนี้ยังอัดสารสกัดที่น่าสนใจอย่าง :

  • Hordeum Vulgare/Hordeum Vulgare Extract สารสกัดจากใบข้าวบาร์เล่ย์ อุดมไปด้วยคลอโรฟิลด์ที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์แสง ทางผู้ผลิตเคลมว่าช่วยให้ผิวกักเก็บออกซิเจนได้ยาวนานขึ้น 
  • Caffeine ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นส่วนสำคัญในการช่วยปกป้องผิวหน้าจากการถูกมลภาวะต่างๆทำลาย ช่วยลดการบวมอักเสบ ช่วยให้เลือดมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น
  • Camellia Sinensis Leaf Extract สารสกัดจากใบชาเขียวสายพันธุ์ Camellia Sinensis ช่วยลดการระคายเคืองผิว มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ

Philosophy Take A Deep Breath Oil-Free Oxygenating Gel Cream


เรามองว่า Philosophy Take A Deep Breath Oil-Free Oxygenating Gel Cream เป็น Moisturizer ที่เหมาะกับมนุษย์ผิวผสม-มัน และสภาพอากาศร้อนๆ แบบนี้ได้ดีทีเดียว ด้วยเนื้อสัมผัสที่เบาสบายผิว แต่ยังคงคุณสมบัติมในการมอบความชุ่มชื้น และล็อคความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ดี


7th Step : HELIOCARE 360° fluid cream

HELIOCARE 360° fluid cream

ปิดท้ายขั้นตอนการดูแลผิวด้วยไอเทมที่เราทาทุกวันเป็นประจำนั่นคือ "กันแดด" ซึ่งหากคำนึงถึงแสงแดดที่แผดเผามาบนโลกนมุษย์ขนาดนี้ และ Life Style ที่ต้องเผชิญแสงจากจอ Computer ทุกวันเราจึงเลือก HELIOCARE 360° fluid cream ที่เรามั่นใจในประสิทธิภาพของสารกันแดดว่าจะไม่ทำให้ผิวเราเบิร์น คล้ำ มีฝ้า-กระ หรือแก่ก่อนวัย ด้วยความที่เค้าใช้ :

  • สารกันแดดทั้งในรูปแบบ Chemical และ Physical Sunscreen อย่าง Ethylhexyl Triazone, DHHB, BEMT, Ethylhexyl Triazone และ Titanium Dioxide ซึ่งต่างก็เป็นสารกันแดดที่ทรงประสิทธิภาพ มีความเสถียรที่สูง และยังสามารถทำงานร่วมกับสารกันแดดชนิดอื่นๆ ได้ดี
  • นอกจากนี้ยังมี Melanin ที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงสีน้ำเงิน (Blue light) ที่มาพร้อมกับแสงอาทิตย์ และจากแหล่งอื่นๆ เช่น จอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ สามารถป้องกันไม่ให้เส้นใยเกี่ยวพันในชั้นผิวถูกทำลายได้อีกด้วย

HELIOCARE 360° fluid cream


กันแดดของแบรนด์ HELIOCARE เค้ามีให้เลือกหลาย Texture อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Fluid Cream แบบที่เราใช้ซึ่งก็ให้ความชุ่มชื้นได้ดีแต่ไม่ทำให้ผิวมันจนเกินไป หรือแม้แต่ Gel-Oil-Free ที่น่าจะเหมาะกับผิวมันเป็นพิเศษ และก็ยังมีอีกหลายสูตรยังไงก็ลองเลือกเนื้อให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองนะค๊าบ


Conclusion


7 ไอเทมฟื้นฟูผิวที่พังจากมลภาวะ เตรียมผิวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์

เอาหละครับนี่ก็เป็น Skincare Routine ที่เราหยิบมา Mix & Match ช่วงหลังจากสิวอักเสบสงบตัวลง และยังต้องเจอกับมลภาวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวได้อีก ซึ่งการเลือกแต่ละไอเทมนั้นเรา Based-on สภาพผิว, ปัญหาผิว และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เพื่อนๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น 

  • คนที่ผิวแห้ง : อาจจะเปลี่ยน Moisturizer ที่เนื้อหนักกว่านี้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และล็อคความชุ่มชื้นบนผิวให้ยาวนานขึ้น
  • คนที่ผิวมันมาก : สามารถตัด Moisturizer ออกได้ แต่มีข้อแม้ว่าผลิตภัณฑ์ใน Routine ต้องให้ความชุ่มชื้น และล็อคความชุ่มชื้นได้เพียงพอแล้วเท่านั้นนะครับ
  • สำหรับคนที่เป็นสิวง่าย : อาจตัดกลุ่มที่เป็น Oil ออกเพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันที่ง่ายกกว่าคนอื่นขอรับ


ก็หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย และอย่างที่เราถูกถามเสมอว่าใช้ตัวนี้แล้วจะแพ้ไหม จะระคายเคืองหรือเปล่า // ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถตอบให้คำตอบได้จริงๆ ครับ เนื่องจากสภาพผิว และปัจจัยที่อาจกก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่จะลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เราแนะนำว่าให้ลองเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนหรือลำคอ ก่อนใช้ลงบนใบหน้านะครับ





Comment (1)

comment 1
rockies123 | ผิวมัน | 25-29 Yrs | 0 รีวิว 15/12/2023 16:22     
^^
Post Comment



- view all -

THE HIGHLIGHTER

- view all -