อย่างที่เราพูดเสมอว่า 1 ในพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้มีผิวที่สุขภาพดีนั่น คือ ความชุ่มชื้นในชั้นผิวที่เพียงพอ เพื่อให้การทำงานของเซลล์ผิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสงผลให้ผิวแข็งแรงขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจะขอหยิบ MOISTIFIQUE Skin barrier repair Reduce Redness Serum เซรั่มที่เราเพิ่งค้นพบและค่อนข้างเลิฟอยู่พอตัว เอาเป็นว่าอย่างรอช้าไปชมกันเลยฮะ...
MOISTIFIQUE Skin barrier repair Reduce Redness Serum (30g./890.-)
ครีมบำรุงผิวที่ครบสมบูรณ์ในตัว ประกอบไปด้วย 4D Hya ซึ่งช่วยนำพาน้ำเข้าสู่ผิว Ceramide ซึ่งเป็นไขมันเสมือนกับไขมันในชั้นผิวหนังของเรา พร้อมสารบำรุงผิวอย่าง Niacinamide และ Panthenol ช่วยลดระคายเคืองลดอาการแพ้ด้วย Palmitamide MEA และเสริมสร้างความแข็งแรงผิวด้วย Bifida Ferment Lysate
Texture / Scent / Packaging
- Texture : ถึงแม้จะบอกว่าเป็นครีมแต่เอาเข้าจริงๆ เนื้อผลิตภัณฑ์อยู่ในรูป Water to Gel ที่ค่อนข้างเบาสบายผิวทีเดียว สามารถซึมเข้าผิวได้ค่อนข้างไว ไม่ทิ้้งความเหนอะหนะเอาไว้บนผิว
- Scent : ด้วยความที่ไม่มีส่วนผสมของ Fragrance Component จึงไม่มีกลิ่นอะไรมากวนใจเวลาใช้ และแน่นอนว่าลดโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองจากน้ำหอมไปได้เลย
- Packaging : บรรจุภัณฑ์มาในรูปแบบขวดปั๊มพลาสติกที่ค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว ถึงแม้รูปลักษณ์อาจจะดูธรรมดา แต่เรากลับมองว่านี่เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ Simple แถมยังเหมาะกับเนื้อผลิตภัณฑ์ และทำให้เรางานได้สะดวกทีเดียวหละฮะ
Key Ingredients
ตัวแรกที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้อย่าง 4D Hya ที่ประกอบด้วย Sodium Hyaluronate Crosspolymer, Sodium Hyaluronate, Sodium Acetylated Hyaluronate และ Hydrolyzed Hyaluronic Acid สารที่ช่วยในการนำพาน้ำเข้าสู่ผิว โดยแต่ละโมเลกุลก็จะมีขนาดและโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การเข้าสู่ผิวในแต่ละชั้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น นับว่าเป็นจุดเด่นที่มองข้ามไม่ได้เลยจริงๆ แถมยังทำเนื้อสัมผัสออกมาได้ดีเกินคาด
ตัวต่อไปที่น่าสนใจเพราะทางแบรนด์ใส่มาเป็นลำดับ 3 เลยนั่นคือ Niacinamide ที่เราแอบรู้ทราบมาว่าใส่มาถึง 5% เลยหละ ซึ่งเข้า Niacinamide นี้เองมีประโยชน์ต่อผิวในหลายด้าน อาทิ ช่วยลดริ้วรอย ลดรอยแดง/ดำ(hyperpigment) เพิ่มความชุ่มชื้น ด้วยการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน และเซราไมด์ (ceramide) และยังทำให้ผิวแข็งแรง ต่อสู้กับการระคายเคือง (irritants) ต่างๆได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถลดความมันบนใบหน้า (sebum excretion) และยังเป็น Whitening อีกด้วย
ในแง่ของความแข็งแรงของชั้นผิมมี Celemide 3, Caprylic/Capric Trigreceride และ Cholesterol ที่เป็นสามทหารเสือในการเพิ่มความแข็งแรงของชั้นผิวใส่เข้ามาอย่างลง ซึ่งช่วยให้ผิวเราแข็งแรงขึ้นได้ดีทีเดียวหละ เพราะเมื่อ Skin Barrier ของเรามีช่องโหว่จะมีโอกาสที่ผิวสูญเสียน้ำจากสภาพอากาศ, สูญเสียไขมันเคลือบผิวจากการชำระล้างผิว/กรดผลัดเซลล์ผิว และเมื่อไหร่ก็ตามที่ Skin Barrier เริ่มมีรอยรั่ว ที่ผิวจะระคายเคือง หรือแพ้ง่ายแบบที่ไม่เคยเป็นก็จะมากตาม แถมด้วยริ้วรอยที่มาก่อนไว หยาบกร้าน และดูหมองคล้ำขึ้นอีกด้วยแหละฮะ
นอกจากนี้ยังมีสารที่ช่วยลดการระคายเคืองอย่าง Panthenol ที่นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยลดการระคายเคืองได้ดี ประกบคู่มากับ Deoxyphytantriyl Palmitamide MEA เป็นสารที่พบได้ใน Soybean Lecithin (เลซิติน จากถั่วเหลือง) ซึ่งพบว่ามีคุณสมบัติ anti-inflammatory หรือการลดการระคายเคืองที่มีประสิทธิภาพดี และมีความปลอดภัยสูง
Let's Try...
จากที่เราลองใช้ MOISTIFIQUE Skin barrier repair Reduce Redness Serum(ชื่อยาวมากแม๊!!) มาประมาณ 3 สัปดาห์ เราต้องบอกว่าค่อนข้างประทับใจในเรื่องเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเบาสบายผิวมากๆ เมื่อพิจารณาว่าใส่ Hya มาถึง 4 โมเลกุลและยังตามมาด้วย Celemide 3, Caprylic/Capric Trigreceride, Cholesterol และ Panthenol ที่ค่อนข้างให้ความชุ่มชื้้นสูงอยู่พอสมควร
ส่วนในแง่ของผลลัพธ์เรามองว่าผิวโดยรวมแข็งแรงขึ้นอยู่อยู่พอสมควร เพราะส่วนตัวแล้วเราเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ยิ่งสภาพอากาศแปรปรวนผิวเราก็มักจะงอแงอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะแห้ง/ลอก ระคายเคือง หรือพีคสุดคือสิวขึ้นเป็นดาวลูกไก่ แต่ใรช่วงที่เราใช้น้องคนนี้มาราวๆ 3 วีคติด เรากลับไม่ค่อยเจอปัญหาการระคายเคือง ผิวแห้ง แต่เรื่องสิวนี่ยังมีอยู่ประปรายแต่นับว่าน้อยลงมากเลยทีเดียว
Conclusion
โดยรวมเรามองว่า MOISTIFIQUE Skin barrier repair Reduce Redness Serum เป็นเซรั่มที่น่าสนใจมากอีกแบรนด์นึงในแง่ของส่วนผสมที่ทำออกมาได้ดีมาก มากจนเกินกว่าที่เราคาดไปมากเลยแหละ เพราะเล่นใส่ Hya มาถึง 4 โมเลกุล แถมยังมี Vitamin B3,B5 และสารที่ช่วยส่งเสริมให้ผิวของเราแข็งแรงขึ้นอย่าง Celemide 3, Caprylic/Capric Trigreceride และ Cholesterol
แถมเนื้อสัมผัสยังทำออกมาได้บางเบา ไม่เหนอะหนะผิว เหมาะกับมนุษย์ผิวผสมที่ค่อนข้างแห้งในช่วงนี้แบบเรามาก!! อีกจุดที่เราโปรดปราน คือ การทำราคาที่สมเหตุสมผลไม่ได้รุนแรงต่อกระเป๋าสตางค์จนเกินไป เมื่อพิจารณาถึงส่วนผสม เนื้อสัมผัสและผลลัพธ์ที่เราได้ สามารถซื้อใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องถึงกับกินมาม่าไปอีกครึ่งเดือน
แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ Based-on สภาพผิว ไลฟ์สไตล์ การดูแลตัวเอง และผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ร่วมกันเป็นหลัก ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ส่วนสำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหม จะอุดตันไหม สิวจะขึ้นหรือไม่นั้น เราไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง และก่อให้เกิดสิวของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นเราแนะนำว่าก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตาม ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณท้องแขน และลำคอก่อใช้ลงบนใบหน้านะขอรับ