ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาหลายปีที่เราหลงรัก Skincare ยังคงมีสกินแคร์อีกหลายต่อหลายแบรนด์ที่เรายังไม่มีโอกาสได้ลองซึ่งหนึ่งนั้นคือ LA MER และหนึ่งในไอเทมที่ยอดฮิตของแบรนด์คงหนีไม่พ้น LA MER The Treatment Lotion โลชั่นอันโด่งดั่งของเค้าที่อุดมไปด้วยสารสกัดจาก Miracle Broth ที่ต้องยอมรับว่าเราโดนป้ายยามาหนักหน่วงมากจนสุดท้ายก็อดใจไม่ไหวไปตำมาตามระเบียบและก็ได้ลองใช้มาซักพักใหญ่เชียวแหละวันนี้เราเลยถือโอกาสมาแชร์มุมมองของเราผ่านตัวอักษรให้ได้ชมกันฮะ
LA MER The Treatment Lotion โลชั่นบำรุงผิวสูตรน้ำมอบความรู้สึกมีชีวิตชีวาให้แก่ผิวด้วย Liquid Energy ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ซึมลงสู่ผิวอย่างรวดเร็วให้ผิวชุ่มชื้นในทันทีที่ใช้มอบผิวแลดูนุ่มเรียบเนียนและช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ
เนื้อสัมผัสมีความน่าสนใจตรงที่ตัวโลชั่นไม่ได้เหลวจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้หนืดจนทาแล้วรู้สึกเหนอะหนะผิวเรียกว่าเป็นสัมผัสที่อยู่ตรงกลางซึ่งมอบความรู้สึกที่น่าประทับสำหรับเราอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวหละ
ในแง่ของกลิ่นอาจจะไม่ได้ถูกใจเรานักเพราะหากเลือกได้ก็อยากจะให้มีสูตรที่ไม่มีส่วนผสมน้ำหอมเลยซะมากกว่าแต่จากที่เราใช้มาเกือบ 1 เดือนก็ยังไม่พบอาการแพ้ ระคายเคืองนะขอรับ
อีกจุดที่ขอหักคะแนนเล็กน้อยด้วยความที่เนื้อโลชั่นไม่ได้เหลวมากบวกกับเราที่ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณเยอะทำให้เวลาเทออกจากขวดต้องเทหลายครั้งอยู่พอสมควรเลยแอบคิดว่าถ้าเป็นแบบขวดAirless Pump น่าจะดีกว่านี้นะครับ
ในด้านส่วนผสมแน่นอนอยู่แล้วว่าตัวชูโรงของ LA MER ก็คงไม่พ้น Miracle Broth สารสกัดจากที่ได้จากหารหมักของสาหร่าย Sea Kelp ในตำนานซึ่งผ่านถูกค้นพบและพัฒนาโดย Dr Max Huber ที่ทางแบรนด์เคลมในเรื่องกระบวนการเสริมสร้างผิวใหม่เติมเต็มความชุ่มชื่นให้ผิวฟื้นบำรุงผิวใหม่ปลอบประโลมผิวช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนเปล่งประกายซึ่งจากที่ได้ลองใช้เราถึงแม้เราจะไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นเพราะสารตัวนี้หรือไม่แต่ก็ต้องยอมรับว่าผิวโดยรวมเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังมี Dipotassium Glycyrrhizate หรือ Licorice ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการแพ้หรือระคายเคืองบรรเทาการอักเสบของผิวช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นอีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยลดการทำงานของเอนไซม์Tyrosinase ที่สร้างเม็ดสีเมลานินจึงมีผลช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย
สารอีกตัวที่เรามองว่าค่อนข้างน่าสนใจแต่ไม่ค่อยได้ยินคนหยิบมาพูดถึงเท่าไหร่คือ Alcaligenes Polysaccharides เป็นสารในกลุ่มพอลิแซ็คาไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือการเพิ่มความชุ่มชื้นในผิวและล็อคความชุ่มชื้นเหล่านั้นไว้บนผิวซึ่งพอทำงานร่วมกับ Fucus Vesiculosus Extract ซึ่งเป็นสาหร่ายสีน้ำตาลที่สามารถสร้างฟิล์มบางๆให้กับผิวเรียกว่า Hydrolipidic Film เป็นชั้นฟิล์มที่ประกอบด้วยทั้งน้ำและไขมันที่มีความคล้ายคลึงกับผิวจึงสามารถเข้ากับผิวได้ดีและทำงานร่วมกับเพื่อมอบความชุ่มชื้นและสามารถเคลือบปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นจากสภาพแวดล้อมได้ดีทีเดียว
ปกติแล้วเรามักจะชอบเท LA MER The Treatment Lotion ประมาณเหรียญ 10 บาทแล้ววอร์มทั่วฝ่ามือก่อนจากนั้นค่อยๆประคบทั่วใบหน้าและลำคออย่างแผ่วเบาซึ่งจากการที่เราทำแบบนี้มาร่วม 1 เดือนผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงคือ
เราสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงของความชุ่มชื้นบนชั้นผิวได้อย่างชัดเจนผิวดูแน่นขึ้นอิ่มฟูขึ้นดูกระจ่างใสขึ้นในยามที่แสงตกกระทบลงบนผิวทำให้ผิวดูโกลว์สุขภาพดีนอกจากนี้เรายังพบว่าการแพ้ ระคายเคืองที่เกิดจากสภาพแวดล้อมต่างๆเกิดขึ้นน้อยลงพอสมควรในช่วงเดือนที่ผ่านมาขอรับ
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์เนื้อสัมผัสรวมถึงส่วนผสมแล้วนับว่าเป็น Lotionที่เราโปรดปรานที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียวแหละจนทำให้เราอดรู้สึกไม่ได้ว่าเราน่าจะลอง LA MER The Treatment Lotion ให้เร็วกว่านี้ และรู้สึกว่าในอนาคตคงได้งอกไอเทมอื่นๆออกมาอย่างแน่นอนฮะ
แต่ก็อย่างที่เรามักพูดเสมอว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ Based on สภาพผิวการดูแลตัวเองรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้รวมกันเป็นหลักดังนั้นผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลขอรับส่วนคำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหมจะอุดตันไหมสิวจะขึ้นหรือไม่นั้นเราไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองและก่อให้เกิดสิวของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันดังนั้นเราแนะนำว่าก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตามควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนและลำคอก่อใช้ลงบนใบหน้านะขอรับ