ฉีดฟิลเลอร์ปาก
“ฟิลเลอร์ปาก” เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยให้ริมฝีปากของคุณอวบอิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่จะฉีดฟิลเลอร์ปากควรมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่พร้อม นอกจากนี้ยังต้องคาดหวังผลลัพธ์อย่างเป็นจริงด้วย
ฉีดฟิลเลอร์ปากคืออะไร ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากคือ การฉีดสารเติมเต็มเพื่อเพิ่มความอวบอิ่มให้แก่ริมฝีปาก จัดว่าเป็นการฉีดสารเติมเต็มผิวประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกสังเคราะห์ หรือ HA ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์ปากมีหลายยี่ห้อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Juvederm, Restylane หรือ Belotero
ใครควรฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นการทำตามความชอบ และความต้องการทางกายภาพเพื่อเสริมความมั่นใจ
หากคุณกำลังพิจารณาการฉีดฟิลเลอร์ปาก คุณควรมีคุณสมบัติดังนี้
- มีสุขภาพร่างกายที่ดี
- คาดหวังผลลัพธ์อย่างเป็นจริง
- ไม่มีอาการติดเชื้อในช่องปาก รวมถึงแผลร้อนในหรือเริมที่ปาก
คนจำนวนมากฉีดฟีลเลอร์ปากเพราะต้องการให้ริมฝีปากมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเหตุผลที่แต่ละคนต้องการเพิ่มขนาดให้ริมฝีปากอาจแตกต่างกันไป เช่น
- ต้องการคืนรูปทรงเดิมของริมฝีปาก เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ริมฝีปากอาจมีขนาดเล็กลงหรือบางลง ร่องริมฝีปากบน (ร่องระหว่างริมฝีปากบนกับสันกลางระหว่างปลายจมูก) อาจยาว และแบนราบขึ้น รวมถึงระยะห่างระหว่างมุมปากทั้งสองข้าง (Intercommissural Distance) อาจกว้างขึ้น
- ต้องการปรับรูปทรงของริมฝีปาก เนื่องจากริมฝีปากของคนเรามักจะมีขนาดหรือรูปทรงที่ไม่เท่ากัน (ไม่สมดุล)
-ต้องการเติมเต็มร่องริ้วรอย เนื่องจากเวลายิ้มหรือหัวเราะ ริ้วรอยอาจปรากฏขึ้นข้าง ๆ มุมปาก
- ต้องการเสริมความมั่นใจ เนื่องจากฟิลเลอร์ปากเป็นวิธีหนึ่งในการเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง และทำให้บุคลิกภาพดีขึ้น
ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
ฟิลเลอร์ปากจะช่วยคืนรูปทรงเดิมหรือเพิ่มความอวบอิ่มให้แก่ริมฝีปาก แม้ฟิลเลอร์ปากจะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ แต่ก็อาจช่วยชะลอความจำเป็นในการทำศัลยกรรมปากที่อาจเสี่ยงมากขึ้น เช่น การเสริมปากด้วยซิลิโคนหรือการยกกระชับริมฝีปาก นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณได้รูปปากที่ต้องการ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ
เมื่อเวลาผ่านไป ขนาดของริมฝีปากของคุณอาจเล็กลง ซึ่งเป็นผลจาก
- กรรมพันธุ์
- การสูบบุหรี่
- การถูกทำร้ายจากแสงแดด
ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานเท่าไร ?
โดยปกติแล้วฟิลเลอร์ปากจะอยู่ได้นาน 12 – 18 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับอายุ และความเร็วของร่างกายในการเผาผลาญแคลอรี่ (เมตาบอลิซึม) คนที่อายุน้อยมีแนวโน้มที่จะเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วกว่า ดังนั้นฟิลเลอร์ปากอาจอยู่ได้ไม่นานนัก
สิ่งที่ควรทราบเมื่อตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากต้องทำอะไรบ้าง ?
ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ปาก คุณจะต้องพบแพทย์เพื่อประเมินปัจจัยต่าง ๆ โดยแพทย์อาจถามคำถามต่อไปนี้
ทำไมจึงต้องการฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
คุณมีความคาดหวังอย่างไร ?
คุณคิดมากเกี่ยวกับภาพลักษณ์หรือจุดบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร่างกายหรือไม่ ?
คู่สมรส คู่รัก หรือเพื่อนของคุณแนะนำให้คุณฉีดฟิลเลอร์ปากหรือไม่ ?
สุขภาพร่างกาย และรูปทรงของใบหน้าก็มีความสำคัญเช่นกัน แพทย์ของคุณจะทำการประเมินสุขภาพร่างกายโดยทั่วไป รวมถึงโรคที่เป็นอยู่หรือปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ คุณจำเป็นต้องแจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการแพ้ ยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อมารับประทานเอง รวมไปถึงอาหารเสริมด้วย
จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจสอบ และวัดขนาดใบหน้าของคุณ นอกจากนี้ยังมีการถ่ายภาพใบหน้า และริมฝีปากเพื่อเก็บเป็นประวัติทางการแพทย์ด้วย เมื่อพิจารณาขนาดของริมฝีปาก สิ่งที่สำคัญคือต้องจินตนาการว่าใบหน้าของคุณจะดูเป็นอย่างไร
ยกตัวอย่างให้ลองนึกถึงการตัดผมทรงใหม่ คุณอาจมีรูปตัวอย่างให้ช่างตัดผมดูเพื่อเป็นไอเดียว่าคุณต้องการทรงผมแบบไหน แต่ช่างตัดผมอาจบอกคุณว่าผมของคุณจะดูไม่เหมือนในรูปเพราะปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะเส้นผม ไรผม ความหนา หรือความยาวของผมคุณ ในทางเดียวกัน คุณอาจต้องการริมฝีปากรูปทรงเดียวกับเซเลบริตี้คนดัง แต่นั่นอาจทำไม่ได้จริงเพราะรูปหน้า และองค์ประกอบต่าง ๆ ของใบหน้าไม่เหมือนกัน คุณสามารถสอบถามแพทย์ของคุณได้ว่าสามารถนำรูปตัวอย่างมาให้ดูได้หรือไม่
ในขณะเดียวกันก็ควรเตรียมคำอธิบายอย่างละเอียดว่าคุณต้องการให้ริมฝีปากของคุณมีรูปทรงแบบไหนในกรณีที่แพทย์ของคุณไม่ต้องการดูรูปเป็นตัวอย่าง
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากมีอะไรบ้าง ?
ในขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะทำการทายาชาเฉพาะที่ลงบนริมฝีปากของคุณ ยาชาเฉพาะที่จะทำให้ริมฝีปากของคุณชาเพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด และทำให้คุณรู้สึกสบายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยาชาเฉพาะที่มักประกอบด้วยเบนโซเคน (Benzocaine), ลิโดเคน (Lidocaine) และเตตระเคน (Tetracaine หรือ BLT) หลังจากทายาไปประมาณ 15-30 นาที ริมฝีปากของคุณจะชา
หากคุณแพ้ BLT แพทย์อาจทำการฉีดยาชารอบเส้นประสาทเพื่อให้ริมฝีปากของคุณชา หลังจากฉีดแล้วประมาณ 15-30 นาที ริมฝีปากของคุณจะชา
จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดเข้าไปที่บริเวณต่าง ๆ หรือทั่วริมริมฝีปาก รวมถึงขอบปาก ร่องระหว่างริมฝีปากบน (Cupid’s Bow) และมุมปากทั้งสองข้าง (Oral Commissures) คุณจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่อาจรู้สึกเหมือนถูกเข็มจิ้มเบา ๆ โดยปกติแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 1 มิลลิลิตร (ml) ซึ่งปริมาณนี้เทียบเท่ากับ 1/5 ช้อนชา เข็มจะไม่ฉีดลึกเกินกว่า 2.5 มิลลิเมตร (mm)
แพทย์อาจใช้ถุงน้ำแข็งประคบริมฝีปากของคุณระหว่างกระบวนการฉีดฟิลเลอร์เพื่อลดอาการบวม และช้ำ
ทั้งนี้ กระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลาเพียง 30 นาทีหรืออาจนานถึง 2 ชั่วโมง
เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
หลังจบกระบวนการฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะค่อย ๆ นวดริมฝีปากของคุณเพื่อให้ดูดซึมฟิลเลอร์ และหลังจากนั้นอาจประคบด้วยน้ำแข็ง
แพทย์จะสังเกตอาการของคุณประมาณ 15 นาทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เช่น เวียนหัว คลื่นไส้ หรือเลือดออกมาก เมื่อแพทย์พิจารณาแล้ว แพทย์จะอนุญาตให้คุณกลับบ้าน ยาชาที่ใช้นั้นไม่ได้ทำให้คุณเหนื่อยหรือมึนแต่อย่างใด คุณสามารถขับรถหรือให้คนในครอบครัวหรือเพื่อนมารับกลับบ้านได้ตามสะดวก
อย่างไรก็ตาม ปากของคุณอาจบวม และช้ำได้ โดยอาการบวมมักจะหายไปหลัง 24-48 ชั่วโมง แต่บางครั้งก็อาจนานถึงหนึ่งสัปดาห์
แพทย์อาจนัดคุณอีกครั้งประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อสังเกตริมฝีปากของคุณ โดยแพทย์อาจถ่ายรูปอีกครั้งเพื่อเก็บเป็นประวัติทางการแพทย์ คุณจะได้เห็นว่าริมฝีปากของคุณดูเป็นอย่างไรก่อนฉีดฟิลเลอร์ และหลังจากฟื้นฟูจนหายดี
เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้ริมฝีปากของคุณฟื้นฟูได้ดีขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ประคบด้วยน้ำแข็งประมาณ 10 นาทีเพื่อลดการอักเสบ ความเจ็บ และอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการทาลิปสติก ลิปบาล์ม หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ลงบนริมฝีปากอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดการสัมผัสหรือย่นริมฝีปาก รวมถึงการจูบ และดูดน้ำจากหลอด
- แปรงฟันอย่างระมัดระวัง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ
(หลังฉีดฟิลเลอร์ปากดื่มน้ำให้มาก ๆ )
ประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ประโยชน์ของฟิลเลอร์ปากมีอะไรบ้าง ?
ฟิลเลอร์ปากมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น
- ฟิลเลอร์ปาก และกระบวนการฉีดมีความปลอดภัย ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงมีน้อย
- ช่วยเสริมความมั่นใจ
- สามารถแก้ไขได้ หากคุณไม่พอใจกับผลลัพธ์ แพทย์สามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ปากได้
ฟิลเลอร์ปากจะส่งผลเสียต่อคุณหรือไม่ ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นกระบวนการทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าปลอดภัยมากหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงศัลยแพทย์ตกแต่ง หรือแพทย์ผิวหนัง ทั้งนี้คุณไม่ควรเข้ารับการการฉีดฟิลเลอร์ปากที่ร้านเสริมสวยหรือสปา
ฉีดฟิลเลอร์ปากจะส่งผลเสียต่อริมฝีปากของคุณหรือไม่ ?
หากไม่ได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฟิลเลอร์ปากอาจส่งผลเสียต่อริมฝีปากของคุณได้ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ ริมฝีปากยืดออกอย่างถาวร เนื้อเยื่อรอบริมฝีปากตาย ฟิลเลอร์แข็งตัว หรือติดเชื้อบริเวณรอยฉีด
(หลังฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเป็นก้อน แข็ง ได้หากไม่ได้ฉีดกับผู้เชี่ยวชาญ)
คุณอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด และหายเจ็บหลังจากผ่านไป 12-24 ชั่วโมง
คุณสามารถฉีดฟิลเลอร์ปากระหว่างตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ?
ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการฉีดฟิลเลอร์ปากระหว่างการตั้งครรภ์ปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) จึงยังไม่อนุญาตให้ฉีดฟิลเลอร์ปากระหว่างตั้งครรภ์
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
ต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไรในการฟื้นฟูหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
อาการเจ็บจะหายไปหลังจาก 12-24 ชั่วโมง ส่วนอาการบวมจะหายไปหลังจาก 24-48 ชั่วโมง แต่อาจนานถึงหนึ่งสัปดาห์
หากคุณต้องการให้ริมฝีปากอวบอิ่มเพื่อวันสำคัญ เช่น วันแต่งงาน คุณควรนัดฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างน้อยสองสัปดาห์ล่วงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าริมฝีปากของคุณจะฟื้นฟูจนหายดี
คุณจะสามารถรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้เมื่อไรหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
ทางที่ดีที่สุดคือรอให้ยาชาที่ทาหรือฉีดเข้าไปหมดฤทธิ์ก่อน เพื่อที่คุณจะไม่เผลอกัดปากหรือรบกวนบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ นอกจากนี้ควรงดรับประทานอาหารที่อาจเลอะเทอะ และทำให้คุณต้องเช็ดหน้าหรือริมฝีปากเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูดน้ำหรือสูบบุหรี่เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพราะการย่นริมฝีปากอาจส่งผลกระทบต่อฟิลเลอร์
นอกจากนี้ คุณควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เลือดแข็งตัวน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้อาการช้ำบริเวณริมฝีปากยิ่งแย่ลง
(หลังฉีดฟิลเลอร์ปากงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง)
คุณควรไปพบแพทย์เมื่อไร ?
คุณควรนัดติดตามอาการกับแพทย์ของคุณหลังจากฉีดฟิลเลอร์ครบ 2 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจสอบริมฝีปากของคุณ และพูดคุยถึงผลลัพธ์ รวมถึงสอบถามว่าคุณต้องการให้ริมฝีปากอวบอิ่มมากกว่าเดิมหรือไม่ ซึ่งหากคุณต้องการก็สามารถฉีดฟิลเลอร์เพิ่มได้
คำถามที่ควรถามแพทย์
- แพทย์เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วกี่ครั้ง ?
- มีฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไรให้เลือกบ้าง ?
- แพทย์แนะนำฟิลเลอร์ปากยี่ห้ออะไร ?
- ฟิลเลอร์ปากเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณหรือไม่ ?
- หลังฉีดฟิลเลอร์ ต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไรกว่าจะหายดี ?
- สามารถรับประทานยาแก้ปวดอะไรได้บ้างระหว่างฟื้นฟูร่างกาย ?
- ความเสี่ยง และอาการแทรกซ้อนของการฉีดฟิลเลอร์ปากมีอะไรบ้าง ?
- คุณควรนัดติดตามอาการบ่อยแค่ไหนเพื่อรักษารูปทรงของริมฝีปาก ?
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นการเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งสำหรับความต้องการในการปรับรูปปากของคุณ หากคุณต้องการเพิ่มขนาดริมฝีปาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิลเลอร์ปากเพื่อพิจารณาเลือกทางเลือกที่เหมาะสม ฟิลเลอร์ปากสามารถช่วยเสริมความมั่นใจให้กับคุณได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าผลลัพธ์นั้นไม่คงอยู่ถาวร ทั้งนี้ คุณสามารถพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับคำถาม และความกังวลของคุณได้
Tweet |