ถอดรหัสความสำเร็จ "บริษัท ปฐวิน" ผู้ผลิตผ้าเย็นและทิชชู่เปียกรายแรกของประเทศไทย ก้าวสู่ธุรกิจ OEM และ ODM มายาวนานกว่า 34 ปี ทุ่มงบ 180 ล้าน ปัดฝุ่นธุรกิจครอบครัว พร้อมเป็น "บริษัท มหาชน" อย่างเต็มรูปแบบ
บริษัท ปฐวิน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่าย "ผ้าเย็นและทิชชู่เปียก" รายแรกของประเทศไทย ก่อนผันตัวสู่ธุรกิจ OEM และ ODM รับผลิตสินค้าครอบคลุมทุกเซกเม้นต์ อาทิ ทิชชู่เปียก ผ้าเย็น แผ่นมาสก์หน้า เครื่องสำอาง สินค้าเกี่ยวกับแม่และเด็ก สินค้าเครื่องมือแพทย์ สินค้าดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง มานานกว่า 34 ปี ทุ่มงบประมาณ 180 ล้านบาท นำเข้าเครื่องจักรที่ทันสมัย, พัฒนาซอฟต์แวร์และระบบ AI มาช่วยในการบริหารจัดการโรงงาน และขยายพื้นที่การผลิตจากเดิม 3,000 ตร.ม. เป็น 4,500 ตร.ม. เพื่อรองรับกำลังการผลิต 200,000 ชิ้นใน 1 วัน พร้อมให้บริการแบบ One-Stop Service ตั้งเป้ายอดขาย 420 ล้านบาท ประกาศความพร้อมนำธุรกิจครอบครัวสู่ความเป็น "มหาชน"
นายศักดิพันธ์ ปฐวินทรานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปฐวิน จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นที่สอง เล่าให้ฟังว่า บริษัท ปฐวิน ก่อตั้งโดยครอบครัว "ปฐวินทรานนท์" โดยเปิดโรงงาน ในวันที่ 18 มิถุนายน 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 500,000 บาท จุดเริ่มต้นบริษัทของเราได้ผลิต "ผ้าเย็น" ออกจำหน่าย ภายใต้แบรนด์ "จัมโบ้" เนื่องจากเราเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่อากาศร้อนมาก เราจึงคิดค้นและผลิตผ้าเย็นขึ้นมาจำหน่ายเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย โดยวางจำหน่ายตามร้านอาหาร โรงแรม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เราจึงต่อยอดธุรกิจการผลิตผ้าเย็น สู่ธุรกิจ OEM และ ODM รับผลิตสินค้ากว่า 5,000 แบรนด์ ครอบคลุมทุกเซกเม้นต์ อาทิ ทิชชูเปียก ผ้าเย็น แผ่นมาสก์หน้า เครื่องสำอาง สินค้าเกี่ยวกับแม่และเด็ก สินค้าเครื่องมือแพทย์ สินค้าดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ให้บริการแบบ One-Stop Service เป็นเพื่อนคู่คิดให้ลูกค้า มานานกว่า 34 ปี
จากประสบการณ์ที่สะสมมานานกว่า 34 ปี เราจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำธุรกิจครอบครัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อก้าวสู่ความเป็นบริษัทมหาชน โดยตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่เข้ามาบริหารบริษัท เราได้ทุ่มงบประมาณกว่า 180 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบไอทีและระบบ AI เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการโรงงานให้เป็นระบบและทันสมัย นอกจากนี้เรายังนำเข้าเครื่องจักรที่ทันสมัยมาช่วยในการกระบวนการผลิต เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่สูงถึง 200,000 ชิ้นต่อวัน และเราได้ขยายพื้นที่การผลิตจากเดิม 3,000 ตร.ม. เป็น 4,500 ตร.ม. เพื่อรองรับการผลิตกลุ่มสินค้าใหม่ ๆ ในอนาคต
ทายาทรุ่นที่สอง บริษัท ปฐวิน จำกัด (มหาชน) เล่าต่อว่า นอกจากจะรับผลิตสินค้าแล้ว บริษัทยังได้คิดค้นพัฒนาแบรนด์สินค้าของตัวเอง โดยเห็นโอกาสจากการระบาดของโรคโควิด-19 คนไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญกับความสะอาดมาก ๆ เราจึงคิดค้นและผลิตสินค้าใหม่จำนวน 3 แบรนด์ 1.แผ่นแอลกอฮอล์แบรนด์ Klearell เจาะกลุ่มโรงพยาบาล ร้านขายยาและร้านขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับสินค้าตัวนี้เราผลิตและขายมาแล้ว 2 ปี ถือว่าได้รับการตอบรับดีมาก มียอดขายเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากจะผลิตแผ่นแอลกอฮอล์แล้ว เรายังผลิต เจลหล่อลื่น และครีมลดรอยแผลเป็นสำหรับลูกค้าในกลุ่มนี้ 2.แบรนด์ Pawfect ทิชชู่เปียกสำหรับสัตว์เลี้ยง เจาะกลุ่มคนรักสัตว์ ร้าน Pet Shop และโรงพยาบาลสัตว์ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คนไทยอยู่บ้านมากขึ้น และสัตว์เลี้ยงคือเพื่อนแก้เหงา สำหรับยอดขายแบรนด์ Pawfect และสินค้ากลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงมากกว่า 100% ในทุก ๆ ปี 3.แบรนด์ Klean Action ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในขั้นตอนเดียว ซึ่งสินค้าแบรนด์นี้เราผลิตออกมาเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในกลุ่ม Home Care แต่สินค้ากลุ่มนี้ต้องยอมรับว่าคู่แข่งเยอะมาก แต่เนื่องจากเรามีทีม R&D ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถคิดค้น ทดสอบ พัฒนาสูตร และ Concept ให้มีนวัตกรรม ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถแข่งขันในตลาดได้
ตลอดระยะเวลา 34 ปีที่ผ่าน บริษัท ปฐวิน จำกัด (มหาชน) ได้มุ่งมั่นที่จะเป็น "คู่คิด" ที่ดีให้กับลูกค้า เราไม่ใช่แค่ผู้รับจ้างผลิตสินค้า แต่เราจะเป็นเพื่อนคู่คิด และให้คำปรึกษาลูกค้าในทุก ๆด้าน แบบ One-Stop Service ผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม คุณภาพสม่ำเสมอ ให้ได้มาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของบริษัทแบ่งเป็น OEM 95% แบรนด์ 5% โดยในปี 67 เราตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 420 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 15-20% ต่อปี
ทายาทรุ่นที่สอง บริษัท ปฐวิน จำกัด (มหาชน) กล่าวปิดท้ายว่า ขอบคุณลูกค้าทุก ๆ แบรนด์ที่ให้ความไว้วางใจบริษัทของเรา ต่อจากนี้เราจะมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจครอบครัว เติบโตสู่การเป็น "บริษัทมหาชน" เพราะเราอยากให้บริษัทคนไทย สินค้าไทย เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก โดยเราวางแผนขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ด้วยการออกงานแสดงสินค้าต่าง ๆ เพื่อหาคู่ค้าใหม่ ๆ ต่อไป