โบท็อกซ์กรามคืออะไร ? ช่วยให้หน้าเรียวจริงไหม ? ใช้กี่ยูนิต ?
การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะช่วยให้หน้าเรียวเล็กและดูได้สัดส่วนตามที่ต้องการ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดกับการฉีดโบท็อกกราม ทั้งการทำงานของโบท็อก รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกกรามด้วย
โบท็อกกราม คืออะไร?
โบท็อกกราม คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามเพื่อลดขนาดและความแข็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้กรามดูกว้าง การฉีดโบท็อก จะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวและสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ
โบท็อกกราม ช่วยอะไรบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์กราม เป็นการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อกรามหรือกล้ามเนื้อ Masseter ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร การฉีดโบท็อกซ์ที่กรามมีประโยชน์หลัก ๆ คือ
- ช่วยลดความกว้างของใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก : การฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าดูเรียวและได้สัดส่วนมากขึ้น จึงเป็นวิธีที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวแต่ไม่อยากทำศัลยกรรมผ่าตัด
- ปรับสมดุลให้กับใบหน้า : ในบางกรณีที่กล้ามเนื้อกรามใหญ่เกินไปจนทำให้ใบหน้าไม่สมดุล การฉีดโบท็อกซ์กรามสามารถช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้น
- ช่วยลดริ้วรอยในบางจุด : การฉีดโบท็อกในบริเวณกรามยังช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณข้างแก้ม
โบท็อกกราม เหมาะกับใคร?
การฉีดโบท็อกลดกรามเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยเฉพาะคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือหนาและต้องการลดขนาดกรามให้ดูเล็กลง ซึ่งจะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนและเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยกลุ่มที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกลดกราม ได้แก่
- ผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อและต้องการหน้าเรียว โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม : คนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกราม (Masseter) ใหญ่จนใบหน้าดูเหลี่ยมหรือกว้าง การฉีดโบท็อกจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง ทำให้หน้าดูเรียวสวยขึ้น โบท็อกลดกรามเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้น โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือต้องผ่าตัด
- ผู้ที่มีใบหน้ากว้าง หรือกรามสองข้างไม่เท่ากัน : ต้องการให้รูปหน้าดูเล็กลง และต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหากัดฟันหรือฟันบด (Bruxism) : การฉีดโบท็อกช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อกรามที่ใช้ในการกัดฟัน ทำให้อาการกัดฟันตอนกลางคืนลดลง และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดกับข้อต่อขากรรไกร
- ผู้ที่มีอาการปวดกรามจากการใช้กล้ามเนื้อกรามมากเกินไป : สำหรับคนที่มีปัญหาปวดกรามบ่อยครั้ง การฉีดโบท็อกจะช่วยลดแรงตึงในกล้ามเนื้อและลดความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อบริเวณกรามเกินความจำเป็น
โบท็อกกราม ไม่เหมาะกับใคร?
ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการฉีดโบท็อก ได้แก่ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อกหรือมีโรคประจำตัวบางประการ ซึ่งการฉีดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ โดยกลุ่มบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกประกอบไปด้วย:
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ : เช่น โรคหอบหืดและโรคถุงลมโป่งพอง เนื่องจากการฉีดโบท็อกอาจมีความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางกรณี
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อการกลืน : โบท็อกอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหานี้
- ผู้ที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง : เช่น โรค ALS (amyotrophic lateral sclerosis), Lou Gehrig’s disease, myasthenia gravis หรือ Lambert-Eaton syndrome ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงหากได้รับการฉีดโบท็อก เนื่องจากยาจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้อีก
- ผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีด : การฉีดโบท็อกในบริเวณที่มีการติดเชื้ออาจทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นควรรอให้ผิวหนังหายดีก่อนรับการฉีด
- ผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โบท็อกอาจทำให้กล้ามเนื้อระบบต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับระบบปัสสาวะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก ควรแจ้งข้อมูลที่สำคัญต่อแพทย์ เช่น เคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ หรือไม่ มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย เคยทำหัตถการอื่น ๆ หรือผ่าตัดบริเวณใบหน้ามาก่อน รวมถึงแจ้งสถานะการตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินความปลอดภัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์กราม
- หากมีโรคประจำตัว แพ้ยา แพ้อาหารควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
- ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
- ควรหยุดยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบ แอสไพริน น้ำมันตับปลา วิตามินอี เป็นต้น เป็นเวลา 7-14 วัน
- งดสครับหน้า 2-3 วันก่อนฉีดโบท็อกซ์
- หากทำหัตถการอื่น ๆ มาก่อน ควรเว้น 2 สัปดาห์ก่อนฉีดโบท็อกซ์
- ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูง
- ศึกษาข้อมูลการตรวจสอบโบท็อกซ์แท้
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
- หลังฉีดโบท็อกซ์เสร็จแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง (การเคี้ยวหมากฝรั่งภายใน 30 นาทีแรกหลังฉีดโบท็อก จะช่วยกระจายตัวยาและส่งเสริมการดูดซึมของโบท็อกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น)
- หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มหน้าประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหลังฉีด 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ
- ไม่ควรนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการกระจายตัวยาไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด อาหารหมักดอง หลังฉีด อย่างน้อย 14 วัน
- งดทำหัตถการเลเซอร์ หรือหัตถการที่ใช้ความร้อนหลังฉีดอย่างน้อย 14 วัน
- โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
- การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่
- โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
- การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่
โบท็อกลดกราม ยี่ห้อไหนดี
การเลือกยี่ห้อโบท็อกสำหรับฉีดลดกรามควรพิจารณาจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทั่วไป ยี่ห้อโบท็อกที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีมาตรฐานสูง ได้แก่
1. Allergan botox
จากประเทศอเมริกา เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ถึง 99.5% ทำให้มีโอกาสเกิดการดื้อยาได้น้อยลงเมื่อมีการฉีดซ้ำหลาย ๆ ครั้งจุดเด่นคือออกฤทธิ์ได้แม่นยำ อยู่ได้นานที่สุดรักษาเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เราต้องการ เหมาะสำหรับฉีดก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ลดกรามปรับรูปหน้าเรียวเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
2. Aestox botox
เป็นโบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี ความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5% ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศเกาหลีใต้ และ องค์การอาหารและยาประเทศไทย จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ ตัวยามีความเสถียร และควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้นทุกขวด ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และเห็นผลไว ให้ผลลัพธ์ความสวยแบบธรรมชาติ
3. Xeomin
เป็นผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์จากเยอรมัน ผลิตด้วยเทคโนโลยี XTRACT Technology ที่มีความบริสุทธิ์สูง เพราะมีกระบวนการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล จุดเด่นของโบท็อกยี่ห้อนี้คือ โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสารต้านโบท็อก (Antibody) ต่ำ แม้จะต้องฉีดโบท็อกหลาย ๆ ครั้ง ปราศจากสิ่งเจือปนที่ไม่จำเป็น มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม และโปรตีนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเมื่อฉีดแล้วผลลัพธ์แม่นยำ อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน และเนื่องจากขนาดโมเลกุลที่เล็กและบริสุทธิ์ จึงมีการกระจายตัวที่แม่นยำ และปลอดภัยสูง
4. Dysport
ฉีดโบท็อกกราม อันตรายไหม?
ฉีดโบลดกราม กี่วันเห็นผล
ผลของการฉีดโบท็อกกรามจะเริ่มเห็นได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังการฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 2 เดือนหลังการฉีด การดูแลตนเองหลังฉีดก็มีผลต่อความเร็วในการเห็นผลเช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงการกดนวดบริเวณที่ฉีดและไม่ให้หน้าสัมผัสความร้อนสูง
Botox กรามต้องฉีดกี่ยูนิต
ปริมาณยูนิตของโบท็อกที่ใช้สำหรับการฉีดลดกรามจะขึ้นอยู่กับขนาดกล้ามเนื้อและสภาพใบหน้าของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะใช้ 50-100 ยูนิต ต่อข้าง สำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อหนาอาจต้องใช้ยูนิตมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อก
Q : ฉีดโบท็อกซ์กราม หน้าเรียวจริงไหม?
A : การฉีดโบท็อกกรามจะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและหดลง ซึ่งจะทำให้ใบหน้าเรียวขึ้นจริงหลังฉีด โดยเฉพาะในผู้ที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ในกรณีที่กรามใหญ่จากกระดูกโครงหน้า โบท็อกอาจไม่ได้ผลในการลดขนาดกราม แต่ยังสามารถช่วยปรับความสมดุลและทำให้ใบหน้าดูเข้ารูปได้มากขึ้น
Q : ทำไมโบท็อกลดกรามแล้ว เหนียงเยอะขึ้น
A : หลังฉีดโบท็อกลดกราม บางคนอาจรู้สึกว่าเหนียงหรือคางสองชั้นดูลดลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อกรามหดตัวและทำให้บริเวณเหนียงหรือคางดูเด่นขึ้น การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้โดยการทำทรีตเมนต์เสริมอื่นๆ เช่น โบท็อกลิฟต์กรอบหน้า, การใช้ HIFU, Ulthera หรือ Thermage เพื่อยกกระชับผิวหน้าและคอ เพื่อให้บริเวณคางดูเข้ารูปมากขึ้น
Q : ฉีดโบท็อกลดกรามแล้วปากเบี้ยว เกิดจากอะไร?
A : การฉีดโบท็อกกรามแล้วปากเบี้ยวเกิดจากการที่โบท็อกกระจายตัวไปสู่กล้ามเนื้อที่ควบคุมการยิ้มและการพูดหรือฉีดผิดตำแหน่ง ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณปากทำงานผิดปกติ เพราะฉะนั้นควรเลือกฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญในการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสการเกิดปัญหานี้
Q : ฉีด Botox ลดกรามแล้วหน้าจะตอบ จริงหรือไม่?
A : การฉีดโบท็อกกรามจะทำให้กล้ามเนื้อกรามหดตัวและหน้าดูเรียวลง ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้หน้าดูตอบหากเนื้อไขมันในบริเวณแก้มหรือกรามน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีโครงหน้าเล็กอยู่แล้ว หากกังวลเรื่องนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดเพื่อตรวจสอบและวางแผนการฉีดอย่างเหมาะสม
Q : ฉีดโบท็อกกรามเจ็บไหม?
A : การฉีดโบท็อกกรามจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขณะที่เข็มเข้าสู่กล้ามเนื้อ แต่เจ็บน้อยกว่าการฉีดที่บริเวณอื่นเพราะเข็มที่ใช้ฉีดโบท็อกมีขนาดเล็กและส่วนใหญ่มีการใช้ยาชาหรือประคบน้ำแข็ง ใช้ความเย็นเข้าช่วยเพื่อลดความเจ็บ บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่ตึงเล็กน้อยในบริเวณกรามหลังฉีด ไม่ถึงกับรู้สึกปวดเจ็บจนทนไม่ได้
Q : ฉีดโบลดกราม ทำให้ยิ้มแข็งๆ ยิ้มไม่สุด จริงไหม?
A : หลังฉีดโบท็อกกราม บางครั้งอาจมีอาการยิ้มไม่สุด การแสดงอารมณ์ของใบหน้าอาจดูแข็งขึ้น เช่น ยิ้มไม่สุด หรือรู้สึกว่าหน้าดูตึงๆ ส่งผลให้การยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติหรือยิ้มได้ไม่เต็มที่ สาเหตุหลักของปัญหานี้มักมาจาก
- การฉีดโบท็อกในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม: หากฉีดในตำแหน่งที่ใกล้กับกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม (Risorius)มากเกินไป หรือฉีดในจุดที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้สารโบท็อกกระจายไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ
- ปริมาณโบท็อกที่ใช้มากเกินไป: การใช้ปริมาณโบท็อกมากเกินไปในการฉีด อาจทำให้เกิดการกระจายตัวที่ควบคุมได้ยาก ทำให้กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ
- ลักษณะการกระจายตัวของสารโบท็อก: สารโบท็อกบางครั้งอาจกระจายตัวออกไปนอกพื้นที่ที่ฉีดตามธรรมชาติ ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีด ความลึกในการฉีด และสภาพกล้ามเนื้อของผู้ที่รับการฉีด
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจโครงสร้างของใบหน้าเป็นอย่างดี รวมถึงมีประสบการณ์ในการฉีดโบท็อกในจุดต่าง ๆ เพื่อให้สามารถควบคุมตำแหน่งและปริมาณของสารโบท็อกได้อย่างแม่นยำ หากเกิดอาการยิ้มไม่สุดขึ้น อาการมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามการสลายตัวของสารโบท็อก โดยทั่วไปอาการจะค่อย ๆ หายภายใน 3-4 เดือน
Q : อยากหน้าเรียว ต้องทำแค่โบท็อกลดกรามจริงไหม?
A : การปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ไม่จำเป็นต้องใช้การฉีดโบท็อกลดกรามเพียงอย่างเดียว ยังมีหัตถการอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ไขและปรับสัดส่วนใบหน้าได้ตามปัญหาของแต่ละคน ดังนี้
- โบท็อกซ์ลดกราม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือหนา โดยเฉพาะเมื่อกัดกรามแล้วรู้สึกว่ามีกล้ามเนื้อเด้งขึ้นชัดเจน การฉีดโบท็อกจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อและทำให้ใบหน้าดูเรียวลง
- ฟิลเลอร์คาง:สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางตัด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูสั้นเกินไป การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยเสริมให้คางดูยาวขึ้น ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนดีขึ้น และเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด
- ร้อยไหมยกกระชับ:หากมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม โดยเฉพาะรอบ ๆ มุมปาก การร้อยไหมจะช่วยดึงและยกกระชับผิวบริเวณนี้ให้ดูตึงขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมากขึ้น แต่หากมีการหย่อนเพียงเล็กน้อย การทำ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ก็อาจเพียงพอที่จะช่วยยกกระชับผิวได้
- ฟิลเลอร์ใต้ตาและร่องแก้ม: ในกรณีที่มีปัญหาร่องลึกบริเวณใต้ตาหรือร่องแก้ม ทำให้หน้าดูโทรมหรือโครงหน้าดูไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์ในจุดเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้หน้าดูสดใสและดูสมส่วนขึ้น ทั้งยังช่วยให้แก้มดูกระชับและโหนกแก้มดูเด่นชัดน้อยลง
การปรับรูปหน้าให้เรียวนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะจุดของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและเลือกหัตถการที่เหมาะสมตามปัญหา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย
สรุป
การฉีดโบท็อกกรามสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวลงและลดขนาดกรามได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการหน้าเรียวโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ควรเลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย
: รวมโปรปังหน้าเรียว ด้วย แพ๊คเลือกสวยได้ตาม Size คลิกเลย
Tweet |